Last Updated on 17 พฤษภาคม 2020 by siamroommate
จิโป่ม หรือ จิ้งโกร่ง (Short tailed cricket) เป็นจิ้งหรีดชนิดหนึ่งที่มีขนาดลำตัวใหญ่ที่สุด นิยมใช้ประกอบอาหารหลายเมนู อาทิ จิโป่มคั่วเกลือ ป่นจิโป่ม แกงหน่อไม้ใส่จิโป่ม จิโป่มชุบแป้งทอด เป็นต้น นอกจากนั้น ยังนิยมใช้เป็นเหยื่อจับปลาหรือเหยื่อปักเบ็ดได้เช่นกัน
อนุกรมวิธาน [1]
• อันดับ (order): Orthoptera
• วงศ์ (family): Gyllidae
• สกุล (genus): Brachytrupes
• ชนิด (species): Brachytrupes portentosus
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brachytrupes portentosus Lichtenstein
• ชื่อสามัญ : Short tailed cricket, Cricket
• ชื่อท้องถิ่น :
ภาคกลาง และทั่วไป
– จิ้งโกร่ง
– จิ้งหรีดหัวโต
– จิ้งหรีดหางสั้น
อีสาน
– จิโป่ม
– จิดโป่ม
– จิ๊หล่อ
เหนือ
– จิ้งกุ่ง
แหล่งที่พบ และการแพร่กระจาย [3]
จิโป่ม เป็นจิ้งหรีดชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วโลก สำหรับชนิดที่พบในประเทศไทยจะเป็นสกุล Brachytrupes ซึ่งมีเพียงชนิดเดียว คือ Brachytrupes portentosus หรือที่เรียก จิโป่ม หรือ จิ้งหรีดหางสั้น แต่จิ้งหรีดในสกุลนี้บนโลกมีรายงานพบได้กว่า 15 ชนิด และมีรายงานพบกว่า 3 ชนิด ในแถบอินโด-มาเลเซีย ที่รวมถึงประเทศไทยด้วย ประกอบด้วย B. portentosus, B. orientalis และ B. terrificus
ลักษณะจิโป่ม [3], [4]
จิโป่ม มีลักษณะลำตัวทรงกระบอก และอวบอ้วน ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม ลำตัวประกอบด้วยส่วนหัว อก และท้อง ตัวเต็มวัยมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ทั้งนี้ ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้
ส่วนหัว เป็นส่วนที่มีขนาดเล็ก มีลักษณะค่อนข้างกลม มีปากด้านล่าง เป็นแบบปากกัด มีกรามขนาดใหญ่ ตาเป็นแบบตารวมอยู่ด้านบนปาก มี 2 คู่ ส่วนหนวดอยู่ด้านข้างมุมปาก มี 2 คู่ หนวดมีลักษณะเป็นเส้นสีน้ำตาลหรือดำขนาดเล็กคล้ายกับเส้นผม ยาวมากกว่าความยาวของลำตัว
ส่วนอกเป็นส่วนตรงกลางเชื่อมระหว่างส่วนหัวกับส่วนท้อง โดยมีอกปล้องแรกขนาดใหญ่ และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ ถัดมาเป็นส่วนท้อง โดยด้านบนส่วนท้องจะปกคลุมด้วยปีก ซึ่งจะพบปีกได้ในระยะตัวเต็มวัย ประกอบด้วยปีก 2 คู่ แบ่งเป็นปีกคู่หน้าเป็นแบบ tegmina ปีกคู่หลังเป็นแบบ membrane โดยที่บริเวณโคนปีกจะมีอวัยวะในการรับฟังเสียง ซึ่งมีทั้งเพศผู้ และเพศเมีย ส่วนจิโป่มเพศผู้จะมีอวัยวะพิเศษในการทำให้เกิดเสียงบนแผ่นปีกประกอบด้วย 3 ส่วน คือ แผ่นทำเสียงอยู่บริเวณกึ่งกลางของปีก เรียกว่า ไฟล (file) และอีกส่วนอยู่บริเวณมุมปีกด้านท้าย เรียกว่า สะแครบเปอร์ (scrapers) และอีกส่วนเป็นตุ่มทำเสียง (pegs) อยู่ขอบแผ่นปีก
ส่วนขาจิโป่มมีทั้งหมด 6 ขา หรือ 3 คู่ เป็นขาประเภทขากระโดด ปลายขามีเล็บ 2 อัน แบ่งเป็นขาคู่แรกอยู่บริเวณด้านบนของส่วนอก ส่วนคู่ที่ 2 และ3 อยู่บริเวณส่วนท้องบริเวณด้านบน และตรงกลางของส่วนท้องตามลำดับ โดยขาคู่ที่ 3 หรือ เรียกว่า ขาคู่หลังจะมีขนาดใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะบริเวณส่วน femur หรือบริเวณต้นขาที่มีขนาดใหญ่ ทำหน้าที่สำหรับการกระโดดได้ดี
วงจรชีวิต [3]
จิโป่มมีอายุโดยเฉลี่ยในช่วง 333.30±20.06 วัน หรือในช่วง 313-354 วัน โดยตัวเมียขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวผู้ และอายุยืนกว่า ประกอบด้วยระยะการเติบโตต่างๆ ดังนี้
ไข่ (egg)
ไข่จิโป่มมีลักษณะทรงกระบอกขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนมีรูปร่างคล้ายกับเมล็ดข้าวสาร ผิวเปลือกไข่มีลักษณะมันวาว มีอายุการฟักเป็นตัวประมาณ 56.10±15.03 วัน หรือในช่วง 41-71 วัน
ตัวอ่อน (mymph)
ตัวอ่อน เป็นระยะหลังฟักออกจากไข่ แบ่งเป็น 7 ระยะ มีอายุในระยะประมาณ 173.70±19.86 วัน หรือในช่วง 153-194วัน ซึ่งเป็นระยะที่ยาวนานที่สุด โดยเป็นระยะที่ร่างกายเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว สามารถที่จะเริ่มออกหาอาหารได้ตั้งแต่หลังฟักออกจากไข่

ระยะตัวอ่อน 7 ระยะ มีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน โดยแบ่งเป็นช่วงๆ ได้แก่ ระยะตัวอ่อน 1-2 ลำตัวจะมีผนังหุ้มสีขาวใส และค่อยเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลในช่วงปลายของระยะที่ 2 ส่วนระยะตัวอ่อน 3-7 เริ่มแรกจะเริ่มมีตุ่มขนาดเล็กบนแผ่นปีก ลำตัวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้น และปีกมีขนาดใหญ่ขึ้น
ตัวเต็มวัย (adult)
จิโป่มตัวเต็มวัย เป็นระยะที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยตัวเมียจะมีอายุในระยะตัวเต็มวัยยาววนานกว่าตัวผู้ คือ ตัวผู้จะมีช่วงอายุในระยะประมาณ 109.7±25.32 วัน หรือในช่วง 84-135 วัน ส่วนตัวผู้จะมีช่วงอายุในระยะประมาณ 86.50±12.02 วัน หรือในช่วง 74-99 วันโดยมีความแตกต่างระหว่างเพศ คือ ตัวเมียจะมีขนาดลำตัวใหญ่กว่าตัวผู้ และตัวผู้จะผิวปีกคู่หน้าย่น และขรุขระ ส่วนตัวเมียจะผิวปีกคู่หน้าเรียบ
แหล่งอาศัย และอาหาร
จิโป่ม เป็นแมลงที่ดำรงชีวิตอยู่ในดิน และบนดิน โดยจะอาศัยการทำรัง หรือที่นี้เรียกว่า รู ด้วยการขุดรูลงใต้ดินสำหรับหลบอาศัยทั้งในกลางวัน และกลางคืน โดยรูจะมีขนาดประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีลักษณะลาดเอียงลึกลงดิน มีความลึกประมาณ 30-60 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และความชื้นของดิน
ขณะหลบอาศัยในรู จิโป่มทำนำดินมาปิดปากรูไว้ ส่วนเวลาออกหาอาหาร ซึ่งจะเป็นช่วงกลางคืนตั้งแต่พลบค่ำจนถึงเช้าตรู่
อาหารของจิโป่มจะเป็นพืชชนิดต่างๆ โดยเฉพาะหญ้าใบอ่อนที่ขึ้นโดยรอบของรู ทั้งนี้ ในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว จิโป่มจะทำการออกหากินหญ้าหรือพืชต่างๆนอกรู แล้วกลับเข้ารู แต่หากย่างเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาว จิโป่มนอกจากจะกินอาหารแล้วยังมีการนำหาเข้ามาเก็บพักไว้ในรูด้วยเพื่อใช้เป็นอาหารในช่วงฤดูแล้งที่ขาดแคลนพืชใบเขียว
การผสมพันธุ์
จิโป่มตัวเต็มวัยที่เข้าสู่ระยะสืบพันธุ์ และวางไข่ มักอยู่ในช่วงปลายฝน-ต้นฤดูหนาว ประมาณเดือนกันยายน -พฤศจิกายน ซึ่งเราจะพบหรือได้ยินเสียงจิโป่มร้องดังในช่วงกลางคืนได้บ่อย
เสียงร้องของจิโป่มจะเป็นเสียงร้องของตัวผู้เพื่อร้องในการเรียกหาคู่ตัวเมีย เมื่อตัวเมียที่อยู่รอบข้างได้ยินเสียงก็จะกระโดดมาหาตัวผู้เพื่อผสมพันธุ์
เมื่อตัวเมียมาพบกับตัวผู้ ตัวผู้จนจะเดินวนเวียนรอบตัวเมียเพื่อทำความรู้จัก และคุ้นเคย และหากพึงพอใจซึ่งกันและกันก็จะมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้น แต่บางครั้งมักการแย่งชิงตัวเมียจากตัวผู้ตัวอื่นที่ทำรังอยู่ใกล้กัน
การผสมพันธุ์ของจิโป่มจะแตกต่างจากการผสมพันธุ์ของแมลงหรือสัตว์โดยทั่วไป คือ ขณะผสมพันธุ์ ตัวเมียจะเป็นฝ่ายขึ้นขี่ด้านหลังของตัวผู้ จากนั้น ตัวผู้จะกระดกปลายอวัยวะเพศที่อยู่ด้านท้ายของท้องโค้งขึ้นด้านบน พร้อมกับตัวเมียโน้มปลายส่วนท้องที่เป็นอวัยวะเพศลงรับอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้
หลังจากผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะหากิน และกลับเข้ารูตามปกติเพื่อทำหน้าที่วางไข่ต่อไป โดยจิโป่มตัวเมีย 1 ตัว วางไข่เฉลี่ยประมาณ 120 ฟอง โดยการวางไข่ตัวเมียจะหาแหล่งกองซากพืช เช่น กองไม้ผุหรือกองใบไม้สำหรับวางไข่
ประโยชน์จิโป่ม
1. จิโป่ม นิยมนำมาประกอบอาหารเป็นหลัก โดยใช้ทำอาหารได้หลายเมนู อาทิ จิโป่มคั่วเกลือ ป่นจิโป่ม แกงคั่วจิโป่ม แกงหน่อไม้ใส่จิโป่ม เป็นต้น
2. จิโป่มในบางพื้นที่นิยมใช้เป็นเหยื่อจับปลาหรือเป็นเหยื่อสำหรับปักเบ็ด โดยปลาที่ชื่นชอบจิโป่มที่มักมากินเบ็ด ได้แก่ ปลาดุก และปลาช่อน
3. ประโยชน์ต่อระบบนิเวศ จิโป่มเป็นแมลงที่กินพืชเป็นอาหาร โดเฉพาะหญ้าหรือวัชพืชต่างๆ ช่วยในการกำจัดวัชพืชได้ นอกจากนั้น จิโปมยังได้นำอาหารจำพวกพืชต่างๆเก็บไว้ในรังจนบางครั้งทำให้เกิดเชื้อราย่อยสลายพืชเหล่านั้น จึงถือเป็นการเพิ่มเชื้อราในดินได้
คุณค่าทางโภชนาการจิโป่ม (จิโป่มสด 100 กรัม) [2]
Proximates |
||
น้ำ |
กรัม |
73.3 |
พลังงาน |
กิโลแคลอรี่ |
112.9 |
โปรตีน |
กรัม |
12.8 |
ไขมัน |
กรัม |
5.7 |
แป้ง และน้ำตาล |
กรัม |
2.6 |
ใยอาหาร |
กรัม |
3.1 |
เถ้า |
กรัม |
2.5 |
Minerals |
||
แคลเซียม |
มิลลิกรัม |
88.2 |
เหล็ก |
มิลลิกรัม |
14.4 |
ฟอสฟอรัส |
มิลลิกรัม |
163.4 |
โพแทสเซียม |
มิลลิกรัม |
276.6 |
โซเดียม |
มิลลิกรัม |
56.5 |
Vitamins |
||
ไทอะมีน (B1) |
มิลลิกรัม |
0.26 |
ไรโบฟลาวิน (B2) |
มิลลิกรัม |
1.78 |
ไนอะซีน (B3) |
มิลลิกรัม |
2.31 |
วิธีหา หรือ การจับจิโป่ม
จิโป่ม เป็นแมลงที่ขุดรูหรือทำรังอยู่ใต้ดิน สามารถหาจับได้ในทุกฤดูกาล แต่คนชนบทมักออกหาจิโป่มในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เริ่มเกี่ยวข้าวเรื่อยไปจนถึงต้นฤดูฝน หรือประมาณเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม หรืออาจยาวถึงเดือนมิถุนายน
การจับหรือการหาจิโป่ม แบ่งได้ 2 วิธี คือ
1. การขุดจากรูด้วยเสียม
การขุดจากรูด้วยเสียม เป็นวิธีที่นิยมที่สุด เนื่องจาก สามารถจับได้ง่าย ได้ปริมาณมาก และรวดเร็วด้วยการหาข๋วย (ภาษาอีสาน) หรือ กองดินจากรูจิโป่ม
ลักษณะข๋วยหรือกองดินจิโป่มจะมีลักษณะเป็นกองดินเล็กๆ กองดินมีลักษณะเป็นขุ๋ยหรือก้อนละเอียดขนาดเล็ก โดยตรงมุมด้านใดด้านหนึ่งจะมีร่องหรือปากรูอย่างชัดเจน โดยหากปากรูปิด แสดงว่ารูนี้มีจิโป่มอาศัยอยู่ จากนั้น ใช้เสียมถากบริเวณปากรู ซึ่งรูในส่วนบนจะถูกปิดเป็นดินหลวมๆ จากนั้น จะพบรูเปิด แล้วทำการขุดตามรูเรื่อยจนถึงตัวจิโป่ม ซึ่งจะหลบอาศัยบริเวณจุดสิ้นสุดของรูที่ลึกที่สุด ทั้งนี้ ความลึกของรูจิโป่มจะแตกต่างกันตามฤดู คือ ฤดูหนาว และแล้ง รูจิโป่มจะลึก ส่วนฤดูต้นฝนจะมีรูตื้น
2. การส่องจับกลางคืน
เป็นวิธีที่ไม่ค่อยนิยม เนื่องจาก จิโป่มจะไหวต่ออันตราย ซึ่งจะหมุดลงรูอย่างรวดเร็ว โดยการส่องจับเวลากลางคืนนั้น จะอาศัยช่วงที่จิโป่มออกมาร้องบริเวณปากรูหรืออยู่นอกรู ซึ่งอาจจับด้วยมือ หากพบอยู่นอกรูในระยะไกล แต่หากจิโป่มอยู่บริเวณปากรูจะใช้เสียมเป็นอุปกรณ์ช่วยจับ โดยใช้เสียมปักทิ่มลงบริเวณรูเพื่อปิดไม่ให้จิโป่มหมุดลงรู จากนั้น ค่อยใช้มือจับ ซึ่งวิธีนี้ ต้องมีความชำนาญ และว่องไวจึงจะจับได้
เอกสารอ้างอิง
[1] น้องนุช สารภี. 2545. การสำรวจแมลงที่ดินได้ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์.
[2] รุจิเรข ชนาวิรัตน์. 2559. ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดจากแมลงทอด-
ที่รับประทานได้บางชนิด หลังทำปฏิกิริยากับ-
ไนไตรท โดยใช้การทดสอบเอมส์.
[3] อาจินต์ รัตนพันธุ์. 2543. ความหลากหลายของแมลงกินได้และการศึกษาเซลล์-
พันธุศาสตร์ของจิโปม สกุล Brachytrupes-
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย.
[4] ชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, จิ๊ดโป่ม, ออนไลน์, สืบค้นเมื่อ 13 เมษายน 2563, : http://www.isan.clubs.chula.ac.th/insect_sara/index.php?transaction=insect_1.php&id_m=26902/.
ขอบคุณภาพจาก
– flickr.com/
– Youtube ช่อง MADAMKOB เข้าถึงได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=x6NAB_x9I4w
– social.tvpoolonline.com/news/75022
– Pantip.com โดยคุณตุ้ย-พงษ์พิษณุ